การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learnig)
1 ทฤษฏีพื้นฐานของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Murray, 1997 อ้างถึงใน อุดม, 2551)
กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือของผู้เรียนมาจากฐานทางทฤษฎี
4 ทฤษฎีดังนี้
1..1 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม
(Social Learning Theory : Team work)
วัฒนธรรมการเรียนรู้ทางสังคมได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางในโรงเรียน
ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่นักเรียน
จะทำงานหนักเพื่อรางวัล หรืออาจไม่ผ่านในการปฎิบัติงานนั้นบางทีอาจถูกลงโทษ
การทำงานเป็นกลุ่ม ความสมามารถที่แท้จริง และการศึกษาพฤติกรรมผู้อื่น
เป็นเครื่องมือของครูในการเรียนรู้แบบร่วมมือในวัฒนธรรมการเรียนรู้ทางสังคม
1.2
ทฤษฎีของPiaget (Piagetian Theory : Conflict Resolution)
1.3
ทฤษฎีของVygotsk (Vygotskian Theory : Community
Collaboration)
1.4
ทฤษฎีวิทยาการปัญญา (Cognitive Science Theories : Tutoring)
2 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning)
ราชบัณฑิตสถาน (2551) ได้ให้ความหมาย ว่า
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดหลักให้ผู้เรียนช่วยกันเรียนรู้โดยพึ่งพากัน
มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดใช้ทักษะทางสังคมในการทำงานร่วมกัน
มีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานกลุ่มและมีการตรวจสอบผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคล
วิกิพีเดีย
ได้ให้ความหมายของ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือโดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย
ๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน
ทั้งในส่วนตนและส่วนรวมเพื่อให้
ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
ซึ่งตรงข้ามกับการเรียน
ที่เน้นการแข่งขันและการเรียนตามลำพัง
Blackcom (1992) กล่าวว่า
การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จโดยผู้เรียนกลุ่มเล็ก ๆ
ที่มีความสามารถต่างกัน ใช้กิจกรรมการเรียนที่หลากหลาย
ในการปรับปรุงความเข้าใจในเนื้อหาวิชา
สมาชิกแต่ละคนในทีมจะไม่เพียงจะต้องมีความรับผิดชอบแต่ต้องช่วยเหลือกันในกลุ่ม
ซึ่งสร้างบรรยากาศของสัมฤทธิ์ผลในการเรียนอีกด้วย
ไพฑูรย์ และคณะ (2550) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า
เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจในการศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติงาน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายซึ่งถือเป็นความสำเร็จของกลุ่ม เน้นการทำงาน
คละความสามารถของสมาชิก ดังนั้นการกระทำใด ๆ ของสมาชิกย่อมมีผล
กระทบต่อกลุ่มและสมาชิกคนอื่น ๆ
ทิศนา (2552) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือคือ
การเรียนที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุด
โดยอาศัยการร่วมมือกันช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้กัน
ระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน
ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษา
เนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ
สรุป การเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง
ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย
โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน
เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน
สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้
ซึ่งในงานวิจัยนี้เรียก Cooperative Learning ว่า
การเรียนแบบร่วมมือ
3 รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative
Learning)
Johnson,
Johnson and Stann (2000) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ
ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีทั้งหมด 8 รูปแบบ ได้แก่
1.
รูปแบบแอลที (LT) หรือ Learning
Together
2.
รูปแบบเอ.ซี. (AC) หรือ Academic
Controversy
3.
รูปแบบเอส.ที.เอ.ดี (STAD) หรือ Student-Team-Achievement-
Divisions
4.
รูปแบบที.จี.ที (TGT) หรือ Team-Games-Tournaments
5.
รูปแบบจี.ไอ (GI) หรือ Group
Investigation
6.
รูปแบบจิ๊กซอร์ (Jigsaw)
7.
รูปแบบที.เอ.ไอ (TAI) หรือ Teams-Assisted-Individualization
8.
รูปแบบซี.ไอ.อาร์.ซี (CIRC) หรือ Cooperative
Intergrated Reading and Composition
ทั้ง 8 รูปแบบ ให้ผลกระทบในด้านบวกต่อสัมฤทธ์ผลทางการเรียน
ซึ่งสอดคล้องกับ ทิศนา (2548) กล่าวว่าทุกรูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือต่างมีกระบวนการเรียนรู้ที่พึ่งพาและเกื้อกูลกัน
สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือและปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้ สมาชิกกลุ่มต้องใช้ทักษะการทำงานกลุ่มและการสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการทำงานหรือการเรียนรู้ร่วมกัน
รวมทั้งมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงานร่วมกัน
ในส่วนที่ต่างกันนั้นมักจะเป็นความแตกต่างในเรื่องของวิธีการจัดกลุ่ม
วิธีการในการพึ่งพากัน วิธีการทดสอบ
กระบวนการในการวิเคราะห์กลุ่ม บรรยากาศของกลุ่ม
โครงสร้างของกลุ่ม บทบาทของผู้เรียน ผู้นำกลุ่มและครู
ซึ่ง Sharp and Culver (1997 อ้างถึงใน ปทีป,
2544) กล่าวถึงงานวิจัยที่ใช้เทคนิคการสอนแบบร่วมมือสัปดาห์ละ
4 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 สัปดาห์
พบว่า
ผู้เรียนพึงพอใจกับการเรียนรู้และผลจากการประเมินแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณในระดับสูง
4 ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ทิศนา (2548) ได้แบ่งกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ใช้อยู่โดยทั่วไป
มี 3 ประเภท ดังนี้
1. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ
(Formal Cooperative Learning Group) กลุ่มประเภทนี้ครูจัดขึ้นโดยการวางแผน
จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้สาระต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอาจเป็นหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หรือหลายสัปดาห์ติดต่อกัน
จนกระทั่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนด
2. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ
(Informal Cooperative Learning Group) กลุ่มประเภทนี้
ครูจัดขึ้นเฉพาะกิจเป็นครั้งคราว โดยสอดแทรกอยู่ในการสอนปกติอื่น ๆ
โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย ครูสามารถจัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือสอดแทรกเข้าไปเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจ
หรือใช้ความคิดเป็นพิเศษในสาระบางจุด
3. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร
(Cooperative Base Group) หรือ Long – Term Group กลุ่มประเภทนี้ เป็นกลุ่มการเรียนรู้ที่สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงาน /
การเรียนรู้ร่วมกันมานานมากกว่า 1 หลักสูตร หรือภาคการศึกษา
จนกระทั่งเกิดสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น สมาชิกกลุ่มมีความผูกพัน
ห่วงใย ช่วยเหลือกันและกันอย่างต่อเนื่อง
ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ มักจะมีกระบวนการ
ดำเนินงานที่ต้องทำเป็นประจำ
เช่น การเขียนรายงาน การเสนอผลงานของกลุ่ม การตรวจผลงาน เป็นต้น
ในกระบวนการที่ใช้หรือดำเนินการเป็นกิจวัตรในการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้
เรียกว่า Cooperative Learning Scripts ซึ่งหากสมาชิกกลุ่มปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
จะเกิดเป็นทักษะที่ชำนาญในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น