การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative
Learning)
1 ทฤษฏีพื้นฐานของการเรียนแบบร่วมกัน
Johnson and Johnson (1996) กล่าวว่ามีทฤษฎี 3 ทฤษฎีที่ชี้นำในการวิจัยการเรียนแบบร่วมกัน (Collaborative
Learning) คือ
1.1
Cognitive-developmental Perspective เป็นพื้นฐานมาจากทฤษฎีของ
Piaget and Vygotsky ซึ่ง Piaget กล่าวถึง
การเรียนรู้แบบร่วมมือรายบุคคลบนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ส่วน Vygotsky
กล่าวถึง องค์ความรู้ คือสังคม
สร้างมาจากผลของการร่วมมือกันในการเรียนความเข้าใจ และการแก้ปัญหา
1.2
Behavioral Learning Theory Perspective ของ Skinner ซึ่งกล่าวถึงการเสริมแรง การให้รางวัล
1.3
Social Interdependence กล่าวถึงบุคคลหลาย ๆ คนที่มีเป้าหมายมีส่วน
ร่วมกัน และบุคคลที่ประสบความสำเร็จโดยมีกิจกรรมกับผู้อื่น
2 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning (CL)) เป็นคำสำคัญทางการศึกษา
ได้มีผู้ให้คำนิยามไว้อย่างชัดเจนในหลายมุมมอง เช่น
ราชบัณฑิตสถาน (2551) เรียกว่า การร่วมกันเรียนรู้
หรือการเรียนรู้ร่วมกัน หมายถึง
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากที่บุคคลรวมตัวกันทำงานอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีเสมอกัน
โดยเน้นการรวมพลังและกระบวนการทำงานที่ดี
Gokhlae (1995) เห็นว่า
CL คือ
วิธีการสอนที่เน้นกระบวนการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กเพื่อจุดหมายร่วมกัน
ผู้เรียนจะมีความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เพื่อผลสำเร็จร่วมกัน
Collaborative learning online
(2008) กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมกัน ไม่ปรากฏในการเรียนรู้รูปแบบเดิมที่ผู้เรียนมีอิสระในการทำงาน
งานเรียนและมีความรับผิดชอบในตัวเอง
ซึ่งในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมโดยทั่วไปเป็นการปฏิบัติด้วยตัวเองและ
ทำรายงานดังนั้นจึงไม่ต้องพึ่งพาอาศัยกันกับผู้เรียนอื่น
ไพฑูรย์ และคณะ (2550) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมแรงรวมพลัง
(Collaborative Learning) ว่าการเรียนรู้นี้เป็นวิธีการเรียนการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกันเน้นการมีความสนใจร่วมกันของสมาชิกมากกว่าระดับความสามารถ
บทบาทของสมาชิกทุกคนมีความชัดเจนและทำงานไปพร้อม ๆ กัน ศึกษาค้นคว้า
ปฏิบัติงานและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเรียนแบบนี้เน้นการยอมรับ
ในบทบาทหน้าที่ของกันและกัน
รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้
ตลอดเวลา
สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative
Learning) หมายถึง การเรียนที่เน้นการทำงานเป็นกลุ่ม
ที่สมาชิกในกลุ่มทำงานรับผิดชอบร่วมกัน การยอมรับบทบาทหน้าที่ของกันและกันและสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างสมาชิกด้วยกันได้
ซึ่งในงานวิจัยนี้ เรียกว่า
การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
3 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning)
มนต์ชัย (2551) กล่าวว่า
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมกัน มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่
1. มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก
(Positive Interdependence)
2. การมีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
(Face to Face Promotive Interaction)
3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล
(Individual Accountability)
4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
(Interdependence and Small Group Skill)
5. กระบวนการกลุ่ม
(Group Process)
4 หลักเกณฑ์ของการเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning)
Johnson, Johnson & Smith (อ้างถึงใน Collaborative learning online, 2008) ได้สรุปหลักการ
เรียนรู้แบบร่วมกันที่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา
ไว้ดังนี้
1. องค์ความรู้คือการสร้าง
การค้นคิดและเปลี่ยนสภาพโดยผู้เรียน
ผู้สอนสร้างเงื่อนไขที่ผู้เรียนสามารถสร้างความหมายจากวัสดุในการเรียนโดยใช้กระบวนการผ่านโครงสร้างทางปัญญาและเก็บไว้ในความจำระยะยาวเพื่อจะสามารถนำกลับมาใช้
2. ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการสร้างองค์ความรู้
การเรียนคือสิ่งที่ผู้เรียนทำไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้เรียน
ผู้เรียนไม่ใช่คอยรับความรู้จากครูหรือหลักสูตร ผู้เรียนจะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนโดยใช้โครงสร้างทางปัญญาหรือสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่
3. การสอนมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะและความสามารถด้านต่าง
ๆ ของผู้เรียน
4. การศึกษาคือการติดต่อระหว่างบุคคลของผู้เรียน
และระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนในการทำงาน ร่วมกัน
5. ข้อ ก-ง
สามารถใช้แทนด้วยบริบทของการร่วมมือกัน
6. การสอนจะสมบูรณ์และมีประโยชน์ตามทฤษฎีจะต้องพิจารณาที่ผู้สอนว่าได้มีการอบรมทักษะและกระบวนการของการสอนแบบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
5 การออกแบบการเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative
Learning)
อุดม (2551) กล่าวว่า การออกแบบการเรียนรู้แบบร่วมกัน
ต้องทำให้เกิดความสะดวกระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู
ครูกับครู ห้องเรียนกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ และชุมชน การเรียนต้องเป็นอิสระ ผู้เรียนได้กระทำเองปฎิบัติเอง
มีการสื่อสารทางไกลกับนักศึกษาอื่น การสื่อสารการเรียน
แบบร่วมกัน (Collaborative) ซึ่งสอดคล้องกับ Eugenia
M. W. Ng and Ada W. W. Ma (2002) กล่าวว่า
การปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนช่วยสนับสนุนการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ซึ่งง่ายและสะดวกในการติดต่อไปยังผู้เรียนคนอื่น ๆ
ซึ่งมีความสะดวกในเรื่องเวลาและสถานที่อีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับการสื่อสารแบบอื่น นอกจากนี้
เว็บยังสามารถเก็บข้อความข่าวสาร ที่ผู้ใช้สามารถนำมาสร้างใหม่ สามารถนำมาอ้างอิง
เปลี่ยนและเก็บบันทึกระหว่างมีปฎิสัมพันธ์กันได้โดยง่าย และผลที่ได้คือ
ผู้เรียนที่มีพื้นหลังที่แตกต่างกันและสถานที่ต่างกันสามารถแบ่งปันระหว่างกัน และประสบการณ์กลุ่มและการออกความเห็นร่วมกันในการแก้ปัญหาในกระบวนการเรียน
ข้อแตกต่างระหว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบร่วมกัน
ณมน (2007) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน(Collaborative
Learning) กับการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative
Learning) มีความหมายใกล้เคียงกันมาก บางครั้งเราสามารถใช้แทนกันได้ แต่โดยส่วนใหญ่ค่าว่า
“Collaborative Learning” จะใช้กับการเรียนการสอนออนไลน์
ซึ่งทั้ง Collaborative Learning กับ
Cooperative Learning มีข้อแตกต่างกันในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของบทเรียน
(Pre – Structure) โครงสร้างหรือกิจกรรมการเรียน (Task
– Structure) และโครงสร้างเนื้อหา (Content Structure)
Cooperative Learning จะมีการกำหนดโครงสร้างล่วงหน้ามากกว่า
มีความเกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างไว้เพื่อคำตอบที่มีขอบเขตชัดเจน
และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ชัดเจนมากกว่า ส่วน Collaborative
Learning มีการจัดโครงสร้างล่วงหน้าน้อยกว่า
เกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างแบบหลวมๆ (Ill – Structure
Task) เพื่อให้ได้คำตอบที่ยืดหยุ่นหลากหลาย
และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ไม่จำกัดตายตัว ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการเรียนการสอนออนไลน์มักนิยมใช้คำว่า
การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
ที่มาข้อมูล http://becreativetv.com
ที่มารูปภาพ http://www.lakeshoremuseum.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น